2024-04-27

ประหารเจ็ดชั่วโคตร กบฏ..คิดร้าย




              

 จำได้ว่าสมัยเด็กๆ วันหยุดจะได้ดูละครจักรๆ วงศ์ๆ ทุกเช้า... ในละครจะอยู่ในยุคโบราณ มีชาวบ้านอยู่รอบๆ พระราชวัง ออกทำมาหากินซื้อขายแลกเปลี่ยนสิ่งของกันตามวิถีชีวิตสมัยโบราณ มีพระมหากษัตริย์คอยปกป้องคุ้มครองชาวบ้านให้อยู่เย็นเป็นสุข

                บางเรื่องจะมีพวกโจรคิดร้ายทำลายบ้านเมือง ก่อการกบฏหวังยึดครองอำนาจล้มล้างพระเจ้าแผ่นดิน ก่อตั้งกองกำลังขึ้นมาต่อสู้รุกรานประเทศชาติ เข่นฆ่าชาวบ้านตาดำๆ ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วยเลย เพียงเพื่ออยากเป็นใหญ่ คิดตั้งตัวเองเป็นผู้นำบ้านเมือง  

                แต่ท้ายที่สุด โจรกบฏเหล่านี้ก็ต้องแพ้พ่ายความดี อย่างที่เขาว่า “ธรรมะย่อมชนะอธรรม” เพราะบรรดาเหล่าทหารผู้จงรักภักดี และชาวบ้านทุกคนออกมาร่วมแรงร่วมใจกันปกป้องเมืองและพระเจ้าอยู่หัว ออกมาต่อสู้กับโจรกบฏจนพวกมันราพณาสูร แล้วช่วยกันจับตัวผู้บงการคิดคดก่อกบฏเอาไว้

                บทลงโทษของโจรกบฏคิดล้มล้างราชวงศ์ก็คือ มีคำสั่งให้เอาตัวไป “ประหารชีวิตเจ็ดชั่วโคตร” เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างหรือให้ใครคิดคดก่อกบฏ หรือกระทำความผิดก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองซ้ำอีก

                คำๆ นี้เลยคุ้นหูและชอบพูดกันติดปากมาตั้งแต่เด็กๆ เวลาเห็นใครทำความผิด ว่าเอามันไป “ประหารชีวิตเจ็ดชั่วโคตร”  

                ในความเป็นจริงแล้ว ละครหลายต่อหลายเรื่องมักสร้างจากเรื่องราวที่เป็นเรื่องจริง มากกว่า 70-80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือก็นำสีสัน และความบันเทิง สาระความรู้สอดแทรกเข้าไปให้เกิดเป็นเรื่องราวที่สมบูรณ์ขึ้นมา

เช่นเดียวกับ การประหารชีวิตเจ็ดชั่วโคตร เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสมัยโบราณตั้งแต่ก่อนยุคกรุงศรีอยุธยา เป็นบทลงโทษที่ทุกคนต่างสะพรึงกลัว จนไม่มีใครกล้าคิดหรือกล้ากระทำความผิดกฎหมายบ้านเมือง... ในยุคสมัยนั้นทุกคนเลยอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา

                กระทั่งเมื่อ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่1) ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์ เป็นปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จึงได้ทรงโปรดเกล้าให้รวบรวมกฎหมายโบราณเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา และกรุงธนบุรีมาไว้ด้วยกัน ในหนังสือที่ชื่อว่า“กฎหมายตราสามดวง”

                เพื่อรวบรวมเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับการ “ประหารชีวิต” และเครื่องมือต่างๆ ที่ใช้ในการประหารชีวิตเอาไว้ให้ผู้คนได้ศึกษาและรู้ซึ้งถึงบทลงโทษของผู้กระทำความผิดร้ายแรง..

                ยกตัวอย่าง หากผู้ใดลักพระพุทธรูปเอาไปล้างหรือเผาสำรอกเอาทอง หรือเอาพระบท (พระคัมภีร์) ไปสำรอกแช่น้ำ หรือเอาไปเผาไฟ

                ใน “พระไอยการลักษรโจร” กล่าวไว้ว่า ผู้นั้นต้องโทษประหารด้วยการ ถูกจับใส่ในเตาเพลิงสูบเผาไฟจนตาย หากขุดทำลายพระพุทธรูป พระสถูปเจดีย์ โดยถูกจับได้หลายครั้งหลายหนแล้ว ให้ประหารด้วยการเอาโจรผู้นั้นไปตระเวนบกก่อน 3 วัน ตระเวนเรืออีก 3 วัน แล้วค่อยตัดคอและผ่าอกให้ตาย

แล้วหากผู้ใดทำให้เกิดเพลิงไหม้ในพระราชวัง โทษคือ เอาไฟคลอกให้ตายสถานเดียว..

                ส่วนใน “พระไอยการกระบถศึก” (กบฏศึก) กล่าวเกี่ยวกับนักโทษที่เป็นกบฏ ประทุษร้ายต่อพระเจ้าอยู่หัว ปล้นพระนคร ปล้นเมือง เผาพระราชวัง เผาจวน เผายุ้งฉาง เผาคลังหลวง ปล้นวัด เผาวัด ทำทารุณกรรมหยาบช้าต่อพระและชาวบ้าน เช่น เอาปิ้งย่างเผาไฟ หรือเอาแหลนหลาวเสียบร้อนฆ่าบิดา มารดา คณาจารย์ และพระอุปัชฌาย์ เหยียบย่ำทำลามกต่อพระพุทธรูป ตัดมือตัดเท้าตัดคอเด็กเพื่อเอาเครื่องประดับ ผู้นั้นจะต้องถูกประหารชีวิตโดยสถานใดสถานหนึ่งใน 21 สถานประหารชีวิตนี้

                โดยการประหารชีวิต สถานแรก คือ ให้ต่อยกระบานศีศะ(กบาลศีรษะ) เลิกออก (เปิดออก) แล้วเอาคีมคีบก้อนเหล็กแดงใหญ่ใส่ลงไปในมันสะหมอง (มันสมอง) ให้ศีศะพลุ่งฟู่ขึ้นดั่งม่อ (หม้อ) เคี่ยวน้ำส้มพะอูมจนตาย

                สถานที่สอง ให้ตัดแต่หนังจำระ(จาก) เบื้องหน้าถึงไพรปากเบื้องบนทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงเกลียวคอชายผมเบื้องหลังเป็นกำหนด (หนังบริเวณคอถึงท้ายทอย) แล้วให้มุ่นกระหมวดผมเข้าทั้งสิ้น (ม้วนเข้าหากัน) เอาท่อนไม้สอดเข้าข้างละคน โยกคลอนสั่นเพิกหนังทั้งผมนั้นออกเสีย แล้วเอากรวดทรายหยาบขัดกระบานศีศะชำระให้ขาวเหมือนพรรณศรีสังข์ (สีของหอยสังข์)

                สถานที่สาม ให้เอาขอเกี่ยวปากให้อ้าไว้ แล้วให้ตามประทีป (ดวงไฟ) ไว้ในปาก ไนยหนึ่ง (นัยหนึ่ง) เอาปากสิวอันคมนั้นแสะแหวะผ่าปากจนหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้าง แล้วเอาขอเกี่ยวให้อ้าปากไว้ให้โลหิตไหลออกเต็มปาก

                สถานที่สี่ เอาผ้าชุบน้ำมันพันให้ทั่วร่างกายแล้วเอาเพลิงจุด ต่อมา สถานที่ห้า เอาผ้าชุบน้ำมันพันนิ้วทั้งสิบนิ้วแล้วเอาเพลิงจุด สถานที่หก เชือดเนื้อให้เป็นแร้งเป็นริ้วอย่าให้ขาดจากกัน ตั้งแต่ใต้คอลงไปถึงข้อเท้าแล้วเอาเชือกผูกจำ ให้เดินเหยียบริ้วเนื้อริ้วหนังแห่งตน ให้ฉุดคร่าตีจำให้เดินไปจนกว่าจะตาย

               โทษประหารสถานที่เจ็ด ให้เชือดเนื้อให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร้งเป็นริ้ว ตั้งแต่ใต้คอลงมาถึงเอวและให้เชือดตั้งแต่เอวให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร้งเป็นริ้วลงมาถึงข้อเท้า กระทำหนังเบื้องบนให้คลุมลงมาเหมือนนุ่งผ้า ส่วน สถานที่แปด ให้เอาห่วงเหล็กสวมข้อศอกทั้งสองข้าง ข้อเข่าทั้งสองข้างให้มั่นแล้วเอาหลักสอดในวงเหล็กแย่งขึงตรึงลงไว้กับแผ่นดินอย่าให้ไหวตัวได้ แล้วเอาเพลิงรน (ลน) ให้รอบตัวจนกว่าจะตาย

               สถานที่เก้า ให้เอาเบ็ดใหญ่ที่มีคมสองข้างเกี่ยวทั่วร่างเพิก (เปิด) หนังเนื้อและเอ็นน้อยใหญ่ให้หลุดขาดออกมาจนกว่าจะตาย  ถัดมา สถานที่สิบ ให้เอามีดที่คมเชือดเนื้อให้ตกออกจากกาย แต่ทีละตำลึง (นำเนื้อมาชั่งให้ได้น้ำหนักหนึ่งตำลึง ต่อมาตราวัดสมัยโบราณ) จนกว่าจะสิ้นมังสา(เนื้อ)

               ส่วนโทษประหารชีวิตสถานที่สิบเอ็ด ระบุไว้ว่า ให้แล่สับทั่วร่างแล้ว เอาแปรงหวีชุบน้ำแสบกรีดคอ รูดขูดเสาะหนังและเนื้อแลเอ็นน้อยใหญ่ให้ลอกออกให้สิ้นให้อยู่แต่ร่างกระดูก โทษสถานที่สิบสอง ให้นอนลงโดยข้างๆ หนึ่ง แล้วให้เอาหลาวเหล็กตอกลงไปโดยช่องหูให้แน่นกับแผ่นดิน แล้วจับขาทั้งสองข้างหมุนเวียนไปดังบุคคลทำบังเวียน (เวียนเทียน)

              สถานที่สิบสาม ทำมิให้หนังพังหนังขาด แล้วเอาลูกสีลา (ลูกหิน) บดทุกกระดูกให้แหลกย่อย แล้วรวบผมเข้าทั้งสิ้น ยกขึ้นหย่อนลงกระทำให้เนื้อเป็นกองเป็นลอม แล้วพับห่อเนื้อหนังกับทั้งกระดูกนั้นทอดวางไว้ ดั่งตั่งอันทำด้วยฟาง ซึ่งเอาไว้เช็ดเท้า สำหรับสถานที่สิบสี่ให้เคี่ยวน้ำมันให้เดือดพลุ่งพล่าน แล้วลาดสาดลงมาแต่ศีศะ(ศีรษะ) จนกว่าจะตาย

              สถานที่สิบห้า ให้กักขังสุนัขร้ายทั้งหลายไว้ อดอาหารหลายวันให้เต็มอยาก แล้วปล่อยให้กัดทึ้งเนื้อหนังกินให้เหลือแต่ร่างกระดูกเปล่า สถานที่สิบหก ให้เอาขวานผ่าอกทั้งเป็น แหกออกดั่งโครงเนื้อ และสถานที่สิบเจ็ด ให้แทงด้วยหอกทีละน้อยๆ จนกว่าจะตาย

             สถานที่สิบแปด ให้ขุดหลุมฝังเพียงเอว แล้วเอาฟางปกลงคลุมร่างก่อนคลอกด้วยเพลิง พอหนังไหม้แล้วไถด้วยไถเหล็ก ให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่เป็นริ้วน้อยริ้วใหญ่ สถานที่สิบเก้า ให้เชือดเนื้อล่ำออกทอดด้วยน้ำมัน เหมือนทอดขนมให้ กินเนื้อตัวเองจนกว่าจะตาย

             สถานที่ยี่สิบ ให้ตีด้วยตะบองสั้นตะบองยาวจนกว่าจะตาย และ สถานที่สุดท้าย สถานที่ยี่สิบเอ็ด ให้ตีด้วยหวายที่มีหนามจนกว่าจะตายคามือ

             การประหารทั้งยี่สิบเอ็ดสถานนี้ สมัยโบราณจะถูกนำมาใช้กับผู้ก่อการกบฏ คิดร้ายต่อเจ้านายและราชวงศ์!!

            แล้วไม่เพียงแต่ประหารชีวิตผู้กระทำผิดเพียงผู้เดียวเท่านั้น แต่ยังจะกระทำการ “ประหารชีวิตทั้งเจ็ดชั่วโคตร” ไม่เว้นแม้แต่สตรีและเด็กอีกด้วย หากเป็นพระสงฆ์จะถูกนิมนต์ให้สึกเสียก่อน แล้วค่อยรับโทษประหารตามบัญญัติเจ็ดชั่วโคตรเหมือนกัน ซึ่งการประหารโดยทั่วไปที่มิใช่ผู้กระทำความผิด จะถูกประหารโดย “การบั่นคอ”

            แม้จะดูโหดร้ายทารุณ เป็นการทรมานผู้กระทำความผิดจนกว่าจะเสียชีวิต แต่นั่นก็คือ กฎหมายที่บัญญัติไว้สำหรับผู้กระทำความผิด และเพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดประพฤติปฏิบัติผิดกฎหมายบ้านเมือง มีการยึดถือปฏิบัติมาอย่างช้านาน

            พอปี พ.ศ.2477 ได้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127 ว่าด้วยการประหารชีวิตจากการบั่นคอ มาเป็นการประหารชีวิตโดยการ “ยิงเป้า” ด้วยปืนกลมือแบบแบล็คมันน์ เอ็มพี18 แทน ซึ่งได้ใช้ประหารชีวิตครั้งแรก เมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2478 กระทั่งต่อมาในปี พ.ศ. 2520 ได้มีการเปลี่ยนปืนกลมือจากแบล็คมันน์ เป็นปืนกลมือ เอ็มพี5 เอสดี3

             จากนั้นในปี 2546 มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการประหารชีวิตอีกครั้ง จากการยิงเป้ามาเป็นฉีดยาหรือสารพิษเข้าเส้น เพื่อให้เกิดความทรมานน้อยที่สุด และถึงแม้จะมีการเปลี่ยนวิธีประหารเพื่อให้เกิดความทรมานน้อยที่สุดแล้วก็ตาม ก็ยังคงมีความพยายามที่จะให้ประเทศไทยยกเลิกการประหารชีวิต เหลือเพียงจำคุกตลอดชีวิตแทนจนถึงทุกวันนี้

             เพราะคนส่วนใหญ่เห็นว่า ควรให้โอกาสผู้กระทำความผิดได้กลับตัวกลับใจเป็นคนดี และอยู่ร่วมกับสังคมได้อีกครั้ง อีกทั้งโลกทุกวันนี้พัฒนาไปไกล ผู้คนมีวิวัฒนาการและความรู้กันมากขึ้น ผู้ที่จะกระทำความผิดก็ค่อยๆ ลดน้อยลงไป  

             ทว่าดูเหมือนคนเหล่านี้กลับต้องผิดหวัง เพราะปัจจุบันสถานการณ์เมืองไทยกลับกลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนไปเสียแล้ว จากบ้านเมืองอันแสนสงบสุข ผู้คนใช้ชีวิตกันตามวิถีของตัวเองอย่างปกติสุข วันนี้บ้านเมืองกลับลุกเป็นไฟ ผู้คนออกมาขับไล่และเข่นฆ่ากันจนตาย เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในเมืองไทยจริงๆ

            โดยเฉพาะกับสถาบันชาติและพระมหากษัตริย์ สถาบันที่ปกป้องคุ้มครองดูแลบ้านเมืองมาชั่วลูกชั่วหลาน วันนี้มีกลุ่มคนบางกลุ่มออกมาก้าวล่วงดูหมิ่นจาบจ้วง จนถึงขั้นคิดแบ่งแยกประเทศออกมาเป็นของตัวเอง เพียงเพื่อคนเพียงคนเดียว

             คนประเภทนี้ไม่สมควรเกิดเป็นคนไทย!!

             ความคิดต่างเกิดขึ้นได้เสมอสำหรับทุกคน แต่ความคิดจาบจ้วง ก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของปวงชนชาวไทย เป็นสิ่งที่ไม่บังควร..

             เราคนไทยมาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองไกลถึงเพียงนี้ ยามเหนื่อย ยามเศร้า ยามเหงาและท้อแท้ เราพากันคิดถึงบ้าน คิดถึงเมืองไทย อยากกลับเมืองไทยใจแทบขาด แต่เคยคิดกันหรือไม่ว่า เรามีเมืองไทยจนถึงทุกวันนี้ได้เพราะใครปกป้องคุ้มครอง และรักษาเอกราชผืนแผ่นดินนี้เอาไว้ให้เรา ขอให้คิดและจำใส่กะโหลกเอาไว้ให้ดี!!

             พ่อแม่ ญาติ พี่น้องใครพลั้งเผลอหลงผิดไป วันนี้เรายังช่วยกันเตือนสติให้กลับตัวกลับใจ เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ก็ยังไม่สาย ที่จะหันมาปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้คงอยู่คู่กับแผ่นดินไทยตราบนานเท่านาน ไม่ว่าเกมการเมืองจะไปในรูปแบบไหนและทิศทางใด อย่าให้ใครใช้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมืออย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะพวกที่คิดล้มล้างสถาบันแบ่งแยกดินแดนไทย ดินแดนที่เราอยู่กันมาตั้งแต่เกิด

             แม้บางคนอาจคิดว่ามีถิ่นฐานอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย ไม่จำเป็นต้องกลับไปอยู่ที่เมืองไทยแล้วก็ตาม แต่อย่าลืมว่า รากเหง้าของเราก็คือ “คนไทย” เชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนคงสอนให้รู้จักกตัญญูกตเวที รู้ผิดชอบชั่วดี ไม่เป็นลูกอกตัญญู ทรพีคิดฆ่าพ่อแม่อย่างแน่นอน นอกเสียจากคนพวกนั้นจะเป็นพวก “เนรคุณ” ต่ำช้าไม่รู้จักคุณคน

            โดยเฉพาะบุญคุณของ “พ่อหลวง” พ่อที่ดูแลทุกข์สุขของประชาชนมาทั้งชีวิต เรายิ่งต้องเทิดทูนไว้เหนือหัว อย่ายอมให้ใครมาคิดคดก่อกบฏ ทำร้ายหรือจาบจ้วงอย่างเด็ดขาด 

           ว่าแล้วบางครั้งก็อยากให้ย้อนกลับไปอยู่ในยุคสมัยที่มีโทษประหาร 21 สถานเหมือนกัน จะได้ไม่มีใครกล้าทำผิดกฎหมาย บ้านเมืองจะได้สงบสุขเสียที โดยเฉพาะบรรดานักการเมืองทั้งหลายที่โกงกิน ขายชาติ และบ่อนทำลายความสงบสุขของประเทศชาติ คอยยุแยงตะแคงรั่วสร้างข้อมูลอันเป็นเท็จให้คนไทยแตกแยกกัน คนเหล่านี้สมควรจะเป็นกลุ่มแรกที่ถูกบังคับใช้กฎหมายนี้มากที่สุด

           คิดไปคิดมา...มันก็ไม่แน่หรอกนาย...เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้บนโลกใบนี้ ดีไม่ดีวันหนึ่งบทบัญญัติ 21 สถานนี้ อาจจะถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง กับพวกคิดคดก่อกบฏก็ได้!!

Eddy sydney 2014-04-09 18:26:45 10043