ปริมาณฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก หรือจำนวนหิมะที่มีมากพอที่จะแช่แข็งได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกปี ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ก็ได้พบหลักฐานซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่าสภาวะโลกร้อนอันเป็นฝีมือของมนุษย์ทำให้เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่
จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์สองกลุ่มจากประเทศแคนาดาและสก็อตแลนด์ โดยกลุ่มแรกได้ทำการสังเกตปริมาณหิมะตั้งแต่ปี 1951 ไปจนถึง 1999 ในซีกโลกเหนือ พบว่ามีจำนวนมากขึ้น 7% ซึ่งอาจจะดูไม่มากแต่หากมองลึกลงไปเป็นพื้นที่แล้ว กลับมีจำนวนมากไม่น้อยเลยทีเดียว
นักวิทยาศาสตร์ระบุอีกว่าการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศเริ่มมีความรุนแรงมากขึ้นตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา จากเหตุการณ์ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมใหญ่หรือหิมะถล่มตามสถานที่ต่างๆทั่วโลก โดยเฉพาะที่ทวีปอเมริกาเหนือซึ่งมีการเปลี่ยนของสภาพอากาศอย่างเห็นได้ชัด จากการศึกษาในครั้งนี้ยังได้แย้งทฤษฏีเดิมที่ว่า สภาวะโลกร้อนไม่ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์มากมายมหาศาลเช่นนี้
อย่างไรก็ดี จำนวนหิมะหรือปริมาณฝนที่ตกลงมาอย่างหนักไม่ได้ทำให้เกิดอุทกภัยเสมอไป ในการศึกษาครั้งนี้ นักวิจัยเองก็ได้พบว่าสภาพโลกร้อนจะเพิ่มความเป็นไปได้ของอุทกภัยสูงขึ้นไปกว่า 2 เท่า นอกจากนี้นักวิทยาศษสตร์ก็กำลังศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง การเกิดคลื่นความร้อนและอุกภัยในปากีสถานว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับสภาวะโลกร้อนหรือไม่โดยใช้วิธีการจำลองเหตุการณ์ขึ้นมาด้วยระบบคอมพิวเตอร์ นักวิทยาศาสตร์บางรายออกมาย้ำว่าเหตุการณ์จำลองที่เกิดขึ้นมาจากระบบคอมพิวเตอร์นี้ มีความรุนแรงน้อยกว่าความเป็นจริงหลายเท่า
ผลกระทบอื่นๆที่เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ต่อระบบนิเวศน์วิทยาได้แก่ อุณภูมิบนแผ่นดิน และผืนน้ำ ความร้อนในท้องทะเล ความดันของน้ำทะเล ความชื้นบนพื้นดินซึ่งมากกว่าในทะเล รวมไปถึงปริมาณน้ำฝน ความเค็มของและ จำนวนธารน้ำแข็ง ไฟป่า ๆลๆ