
อาชีพทำร้านอาหารนี่จริงๆ แล้วก็เป็นอาชีพที่มีความสุขนะ อย่างแรก... ง่ายๆ และเป็นสัจจะธรรมคือได้ช่วยให้ผู้คนได้อิ่มท้องไปวันๆ สอง…มีความอิ่มใจทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มของลูกค้าเดินออกจากร้านอย่างมีความสุขคุยกันกระหนุงกระหนิง (ส่วนที่หน้านิ่วคิ้วขมวดบ่นพึมพำก็เก็บเข้าลิ้นชักหรือฝากเข้าธนาคารไหนไว้ก่อน) สาม…ได้ช่วยผู้คนให้ได้มีงานการทำ แถมอิ่มท้องโดยที่ไม่ต้องไปซื้อหา อย่าว่าไม่สำคัญนะค๊ะ เรื่องนี้... เพราะเมื่อก่อนน้าตุ๋ยมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ ทำงานโรงงานเย็บผ้า ถ้าใครเคยทำก็รู้ๆ กันอยู่ว่างานกรรมกรแสนจะเหนื่อยแล้วยังจะต้องทำอาหารไปเอง แถมมีเบรคหลายมื้อด้วยกัน ไหนจะ morning tea, lunch และมา afternoon tea พอเบรคทีพวกฝรั่งไม่ว่าจะเป็นฝรั่งดองหรือฝรั่งขี้นก ก็จะมาแล้วนำอาหารมาประกวดประชันกัน “วันนี้ของฉันมี sandwich ใส่ salmon ดองเอ๊ย! ไม่ใช่…รมควันด้วยนะย๊ะ” “อ๋อ!ของฉันก็มีสลัดกรีกใส่แฮมทอดกรอบด้วยหละ แล้วเธอละจ๊ะแม่ Amy วันนี้เธอมีอะไร?” เมื่อเริ่มงานใหม่ๆ อะไรๆ ยังไม่เข้าที่ก็ล่อมาม่าห่อไปเกือบทู๊กวัน... เอาละ แต่ถ้าเพื่อนอยากรู้ดูเมนูอาหารไทยละก็ได้เลยยย... เริ่มงาน 8 โมงเช้าตื่นเอาตี 5 หน้ามันแผล๊บ บรรจงทำอาหารไทยให้เพื่อนได้รู้รสซะมั่ง แถมวันไหนหมดมุขก็ต้องปลุกน้าเหลขึ้นมาเป็นตัวช่วย วกกลับมาคุยกันเรื่องเดิมดีกว่า ที่คุยมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะให้รู้ว่าเด็กๆ ที่ทำร้านอาหารไทยในสมัยนี้นั้นไม่ต้องตื่นมาหน้ามันแผล๊บแบบน้าไง น้าเข้าใจเลยอนุญาติให้นำอาหารกลับไปกินที่โรงเรียนอีกวันหนึ่งได้ไม่ต้องทำให้เสียเวลา...
เหตุที่เกริ่นมาถึงเรื่องร้านอาหารเพราะมีสตอรี่ของกระทาชายนายหนึ่งที่เคยผ่านเข้ามาร่วมงานกันแล้วก็ผ่านไป ทิ้งความจดจำที่เจ็บปวดให้น้าตุ๋ยไว้เป็นอุธาหรณ์สอนคนรุ่นหลังได้อีกมากมาย
“นายทวี” เป็นชายหนุ่มร่างกำยำชาวอุดร อาชีพของหนุ่มอีสานส่วนมากก็หนีไม่พ้นชาวนา อายุก็ราวๆ 26 ในขณะนั้น (ประมาณ 15 ปีมาแล้ว) เดินทางมาออสเตรเลียกับผู้จัดหางาน วันที่เจอกับนายทวีวันแรกก็ได้แต่นึกในใจนะว่าไอ้หมอนี่สงสัยโดนหักอกหรือไม่ก็โดนหนีแชร์อะไรซักอย่าง หน้าตาอมทุกข์ไม่ค่อยพูดจาบอกคำเดียวว่าอยากได้งาน ทำได้ทุกอย่างไม่เกี่ยงเป็นกรรมกรแบกหามล้างส้วมถูพื้นเช็ดครัวได้หมด! นายวีมีพาสปอร์ตแบบทำงานได้ด้วยมี tax file number มาเรียบร้อย ก็ไม่ได้ถามอะไรแต่ลึกๆ ก็อดสงสัยอยู่ในใจไม่ได้ ก็มาแพ้เอาที่แววตาอ้อนวอนอย่างแร๊งง… ก็ตกลงรับไว้เข้าทำงาน เท่านั้นแหละค่ะโลกของนายวีดูสดใสขึ้นมาทันตา ได้เห็นนายวี “ยิ้ม” เป็นครั้งแรก หลังจากได้ร่วมงานกัน บอกได้คำเดียวว่าไม่ผิดหวัง ขยันโคตรๆ ทำทุกอย่างที่ขวางหน้า ทั้งที่เป็นหรือไม่เป็นหน้าที่ของตัวเอง นายทวีเก็บสแปร์หมด เป็นคนสะอาดแถมทำอาหารอร่อยอีกต่างหาก แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เจ้านายรักได้อย่างไร แต่ก็ไม่มีใครอิจฉาเพราะนายวีก็ได้กลายเป็นขวัญใจของทุกคนในร้านเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน อยู่กันมาได้ซักระยะหนึ่งประมาณหนึ่งปีนายวีทำหน้าเศร้าเหมือนเดิมอีกแล้ว แถมมีเรื่องมาปรึกษา...
“น้าตุ๋ยครับ ผมอยากลาออกไปทำงานเก็บผลไม้ครับ” นายวีต้องมีความในใจอะไรแน่ๆ เลย “อ้าวทำไมล่ะ ใครทำอะไรให้วีอึดอัดไม่สบายใจหรืองานมากไปหรือเปล่า บอกน้าได้นะ” นายวียังคงซึมแล้วบอกว่า “อยู่ที่นี่ผมมีความสุขดีทุกอย่างครับรวมถึงเพื่อนๆ ด้วยทุกคนดีกับผมมากครับ แต่ผมมีปัญหาเรื่องใหญ่ทางบ้านคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดีครับ” "แล้วมีปัญหาอะไรละ ทวีเล่ามาให้หมดเผื่อน้าจะสามารถช่วยอะไรได้บ้าง" "ก่อนที่ผมจะตกลงใจมาที่นี่จิตใจผมก็ไม่ปรกติเท่าใหร่นักหรอกครับ คิดมากคิดไปต่างๆ นานา อย่างที่น้าทราบผมมากับนายหน้าจัดหางานซึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นคนรู้จักกันในหมู่บ้านแหละครับ ก็เพราะความเชื่อใจและมีตัวอย่างให้เห็นๆ ว่าใครได้มาทำงานใช้แรงในเมืองนอกแล้วก็จะประสบผลสำเร็จ มีเงินมีทองส่งบ้าน พ่อแม่อยู่สบายและมีหน้ามีตา ผมถึงกล้าตัดสินใจต้องการเดินทางมาขุดทอง เรื่องมีอยู่ว่านายหน้าจัดหางานเรียกเงินในการมาทำงานต่างประเทศซึ่งมีให้เลือกหลายประเทศแล้วแต่จะเลือกไปประเทศไหนส่วนราคาก็ต่างกันขึ้นอยู่ที่ว่าค่าแรงของประเทศไหนให้มากกว่าหรือน้อยกว่าในที่สุดผมก็ตกลงใจที่จะเลือกมาประเทศออสเตรเลีย นายหน้าบอกว่ามีงานรอให้เรียบร้อยในราคาจ้างเท่านั้นเท่านี้ส่วนค่าใช้จ่ายทั้งหมดนายหน้าเรียก “สามแสนบาทขาดตัว” อย่าว่าแต่เงินสามแสนบาทเลยครับเงินสามร้อยก็ยังหายากแต่ทำอย่างไรดีละครับในระหว่างเจรจาใจมันคิดจะมาเกินร้อยไปซะแล้ว บวกลบคูณหารดูแล้วไม่น่าจะเกินหนึ่งปีก็สามารถคืนเงินได้หมด ผมเลยปรึกษาทางบ้านแม่กับย่าก็ไม่อยากขัดใจ เงินก้อนยักษ์ขนาดนั้นมีวิธีเดียวที่จะหาได้ก็คือจะต้องเอาทรัพย์สมบัติที่มีไปวางค้ำประกันเพื่อหา “เงินกู้” เฮียที่ออกเงินกู้ไม่ยอมที่จะให้วางโฉนดที่ดิน 6 ไร่ที่ไม่ไกลจากตัวเมืองเป็นประกันแต่ขอให้เป็นการ “ขายฝาก”แทนแถมเฮียบอกอีกว่าที่ที่ผมนำไปนั้นตีราคาดูแล้วไม่ถึงสามแสนบาทแต่จะต้องรวมกับบ้านพร้อมที่ดินที่ทุกคนอยู่ด้วยถึงจะพอ คิดหนักเลยครับแต่ด้วยใจที่คิดว่าถ้าได้มาทำงานที่ออสเตรเลียแล้วจะต้องนำเงินมาใช้ให้ได้อย่างแน่นอนแม่และย่าจึงยอมเซ็นขายฝากสมบัติทั้งหมดที่มีเพื่อแลกกับเงินที่จะให้ผมมาที่นี่ครับ” ในที่สุดนายทวีก็ได้เดินทางมาออสเตรเลียสมใจ

นายทวีมาถึงว่างงานอยู่สามเดือนไม่มีงานทำส่วนนายหน้าก็หายหน้าไปได้มาอาศัยบ้านคนที่มาด้วยกันที่เค้าสามารถหางานด้วยตัวเองได้ก่อน พูดง่ายๆ ก็คือนายทวี “ถูกหลอก” ค่ะสิ่งที่สำคัญที่สุดของนายวีขณะนี้ก็คือบ้านและที่นากำลังจะถูกยึด นายทวีได้สอนให้น้าตุ๋ยรู้จักคำว่า “ขายฝาก” ซึ่งไม่เคยมีความรู้มาก่อนเลยว่าพ่อค้าเงินกู้นี่ก็มีวิธีให้กู้ต่างๆ นานา การขายฝากก็คล้ายๆ กับการให้กู้เงินดอกร้อยละ 5 ต่อเดือนก็คือร้อยละ 60 ต่อปี โอ้แม่เจ้า... ฟังแล้วหนาวยิ่งกว่าอากาศเมืองออสเตรเลีย! แต่ยังมีอีกอย่างที่หนักกว่านั้นก็คือถ้าภายในปีนี้ไม่มีทั้งต้นทั้งดอกคืนโดนยึดทั้งหมดค่ะ เป็นไงค๊ะ มาถึงตกงานขนาดนั้นต่อให้ทำงานวันละห้าร้อยชั่วโมงก็ไม่สามารถหาเงินมาไถ่คืนได้หรอกนายทวีเอ๋ย ไม่รู้เค้าคิดเลขแบบไหนของเค้าถึงคิดว่าจะคืนได้ภายในหนึ่งปี น้าตุ๋ยล่ะงง!? ด้วยความที่เห็นเป็นคนดีเราสองคนตายายก็เห็นดีด้วยกันว่าจะไปไถ่ถอนโอนจากพ่อค้าเงินกู้มาเป็นของเราแทนโดยให้นายวีไม่ต้องเร่งคืนเงินดอกเบี้ยก็ว่ากันไปตามธนาคารเท่าที่เราฝากอยู่ “นายทวี” ก็ร้องให้ปล่อยโฮกราบขอบคุณ เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดีใช่ไหมค๊ะแต่ยังค่ะ....
หลังจากนั้นโลกที่สดใสของนายวีก็กลับมาดั่งเดิมดูเหมือนจะสดใสขึ้นกว่าเดิม ทำงานไปร้องเพลงไปตลอดทั้งวัน แถมร้องดังอีกต่างหากคิดดูเอาว่าสุขมากขนาดไหน? ลูกๆ ของน้าชอบให้พี่วีทำลาบแบบอุดรให้กิน พี่วีไม่เคยขัดใจรักน้องๆ ทำให้ทุกอย่างขอให้บอก พอถึงฤดูหนาวก็ราวๆ เดือนกรกฏาคม ร้านแรกของน้าและมีอยู่ร้านเดียวก็จะปิด holiday ประมาณสามอาทิตย์เป็นประจำทุกปี พนักงานก็จะได้เงินโบนัสกันมากน้อยขึ้นอยู่กับการทำงานของแต่ละคน นายทวีก็มีโบนัสกับเค้าด้วยเช่นกัน ทุกคนก็จะมีโปรแกรมไปเที่ยวกัน แต่วีเป็นคนเดียวที่มาขออนุญาติไปทำงานร้านอื่นในช่วงเวลาปิดร้านบอกไม่อยากไปเที่ยวไหนขอทำงานแทนเพื่อที่อยากจะเร่งใช้เงินให้หมด เราสองคนตายายกลับไปเที่ยวเมืองไทยและยังได้ไปเที่ยวที่อุดรแวะไปเยี่ยมเยียนแม่และย่าที่นายทวีคุยให้ฟังเป็นประจำ เพื่อนบ้านรู้ว่าเรามาหาก็มาเยี่ยมเยียนกันอยู่หลาย อาหารเที่ยงที่บ้านของวีนี่อร่อยสุดยอด! ทั้งๆ ที่เค้าทำกันเท่าที่มี ขุดหน่อไม้เด็ดใบย่านางต้มกับปลาร้าใส่ใบชะอมออกานิก ส่วนเพื่อนบ้านก็สอยเอามะละกอต้นหลังบ้านมาสับทำตำส้มปลาแดกกันสดๆ ข้าวเหนียวไม่ต้องพูดถึงมีอยู่ประจำบ้าน “แซ๊ปอีหลีตั้ว” อิ่มอร่อยถูกปากเป็นที่สุด “มาถ่ายรูปกันเจ๊จะได้เอาไปให้วีมันดู” แม่นายวีเรียก หลังจากนั้นก็ลากลับกัน
มาถึงกรุงเทพลูกสาวโทรมาหาแบบลุกลี้ลุกรน “แม่พี่วีโดน immigration จับเมื่อคืนที่ร้าน....” อ้าวแล้วพาสปอร์ตที่นายวีเคยโชว์ให้ดูว่าทำงานได้พร้อมมี tax file number ก็....เป็นของปลอมด้วยละซิ!? น้าตุ๋ยนิ่งเงียบอยู่นาน “แม่” เสียงลูกเรียก “แต่เมื่อเช้าหนูเอาของไปให้พี่วีแล้ว พร้อมจัดการซื้อตั๋วเครื่องบินให้คิดว่าพรุ่งนี้หลังจากขึ้นศาลพี่วีก็จะได้กลับเมืองไทย” “ลูกเก่งมากขอบใจนะลูก” น้าตุ๋ยนั่งอยู่อย่างนั้นนานแค่ไหนไม่ทราบแต่รู้ว่านานมาก คืนวันรุ่งขึ้นเราก็ไปรับนายทวีกันที่สนามบินดอนเมืองพร้อมส่งขึ้นเครื่องกลับบ้านอุดร ไม่รู้ว่าในใจนายทวีคิดอย่างไร แต่ในใจน้าตุ๋ยรู้อย่างเดียวว่ายังมีมนุษย์หน้าตาดีแต่งตัวดีๆ มีเงินมีคนนับหน้าถือตาอีกหลายประเภทที่กำลังทำนาผืนใหญ่บนหลังเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง...
natui