
อุตสหากรรมการศึกษาในประเทศออสเตรเลียได้กลายมาเป็นแหล่งทำเงินให้กับประเทศออสเตรเลียเป็นอันดับที่ 4 ลงมาหนึ่งอันดับจากเมื่อก่อนแล้ว สร้างรายได้ให้ประเทศมากกว่า 17 พันล้านเหรียญในปแต่ละปี จากค่าเล่าเรียนอันสูงลิ่ว
ตั้งแต่ในปี 1979 ที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการได้ต่อต้านการเก็บค่าเล่าเรียน ด้วยเหตุผลที่ว่าจะทำให้จำนวนนักศึกษาต่างชาติลดลง เช่นจากประเทศอินโดนีเชียเป็นต้นและจะทำให้แต่มีนักเรียนที่มีฐานะร่ำรวยจึงจะสามารถเข้ามาเรียนได้เท่านั้น แต่ทางกระทรวงการคลังและ Immigration and Ethnic Affairs กลับไม่เห็นด้วยและยังคงให้มีการเก็บค่าเล่าเรียนต่อไป
ในสมัยก่อนหน้านั้นนักศึกษาระดับปริญญาเอกจะต้องจ่ายต่าเล่าเรียนเป็นราคาต่อปี 2,500 เหรียญ สำหรับผู้ที่ศึกษาในหลักสูตรสัตว์แพทย์ จะต้องจ่ายเงินการศึกษาปีละ 2,000 เหรียญ ส่วนในระดับปริญญาตรีอื่นๆ ค่าเล่าเรียนอยู่ที่ 1,500 เหรียญ
#news#
จนกระทั่งในปี 1979 จำนวนนักเรียนจากต่างประเทศได้ถูกจำกัดจำนวนให้เข้ามาศึกษาในสาขาวิชาที่ไม่มีในประเทศของตน หลังจากนั้นรัฐบาลได้กำหนดเพิ่มเติมเงื่อนไขโดยจัดให้มีการส่งเสริมการศึกาในประเทศออสเตรเลียของนักเรียนจากต่างประเทศมากขึ้นโดยเฉพาะในแถบ Association of South East Asian Nations, Papua New Guinea, South Pacific และในประเทศตะวันออกกลาง
ในอดีตเช่นเดียวกันนี้ รัฐบาลได้กล่าวไว้ว่าการขยายฐานนักเรียนจากประเทศอื่นๆนั้นเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประเทศออสเตรเลียและการพัฒนาการสื่อสาร และหลังจากที่นักเรียนสำเร็จการศึกษาแล้วจะต้องกลับไปบ้านเกิดอย่างน้อยๆสองปี หากนักเรียนตัดสินใจที่จะกลับมาเพื่อมาเป็น PR ของประเทศออสเตรเลีย
ในสมัยรัฐบาล Whitlam ในปี 1974 ได้มีการยกเลิกไม่ให้มีการเก็บค่าเล่าเรียนแก่นักเรียนที่ถือสัญชาติออสเตรเลีย โดย หน่วยงาย Education and Finance แย้งว่าหากไม่มีการเก็บค่าเล่าเรียนแล้วจะก่อให้เกิดความไม่สมดุลแก่ผู้เสียเงินภาษีทั้งหลาย เนื่องจากนักเรียนเหล่านี้หลังจากจบการศึกษาและประกอบอาชีพแล้วมักจะเรียกร้องขอเงินเดือนมากกว่าเงินเดือนโดยเฉลี่ยซึ่งคิดเป็นเงินที่ต้องจ่ายออกไปทั้งหมด 185 ล้านเหรียญ
และในปี 1977 ต่อมารัฐบาลได้ยกเลิกไม่ให้มีการเก็บค่าเล่าเรียนอีกครั้ง และอีกสิบปีต่อมารัฐบาล Hawke ได้นำนโยบาย ช่วยเหลือด้านเงินการศึกษาแก่นักเรียน Higher Education Contribution Scheme ขึ้นมาแทน