นักวิทยาศาสตร์ชาวแคนาดาออกมาเปิดเผยว่า การสัมผัสสารเคมีหรือมลพิษบางประเภทจะเพิ่มโอกาสให้สตรีอายุ 30 ตอนกลางมีโอกาสเป็นมะเร็งในเต้านมได้
บทความจากการวิจัยที่ได้มีการตีพิมพ์ในนิตยสารการแพทย์ของประเทศอังกฤษ ภายใต้หัวข้อ Occupational and Environment Medicine ได้กล่าวว่าสตรีที่สัมผัสกับสารจำพวกไฟเบอร์สังเคราะห์ และปิโตรเคมี ในหน้าที่การทำงาน จะมีโอกาสเสี่ยงสูงสุดต่อการเป็นมะเร็งในเต้านม
อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญอื่นๆออกมาแสดงความเห็นว่า โอกาสของการเกิดมะเร็งในเต้านมเป็นเรื่องของโอกาสมากกว่า และจากหลักฐานในการวิจัยดังกล่าวนี้เองยังไม่มีหลักฐานในการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสารดังกล่าวกับการเกิดมะเร็ง
นักวิทยาศาสตร์ชาวแคนาดาออกมายอมรับภายหลังว่างานวิจัยของพวกตนนั้นอาจเป็นความบังเอิญก็ได้ แต่พวกตนก็ยังมั่นใจว่าเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นนั้นตรงกับทฤษฎีที่อธิบายไว้ว่าเนื่อเยื่อในหน้าอกนั้นมีความอ่อนไหวต่อสารเคมีที่เป็นอันตราย และจะมีความอ่อนไหวมากขึ้นไปอีกหากเนื่อเยื่อหน้าอกยังคงมีการเปลี่ยนแปลง (โดยปรกติเนื้อเยื่อหน้าอกผู้หญิงจะหยุดเปลี่ยนแปลงเมื่อมีอายุ 40 ปี)
#news#
กลุ่มนักวิจัยซึ่งมี France Labreche เป็นผู้นำจากศูนย์ Occupational Health Research Institute จากนคร Montreal ประเทศแคนาดา โดยการศึกษาผู้หญิงจำนวน 1,100 คนซึ่งมีจำนวนกว่า 556 ของที่ถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเต้านมระหว่างปี 1996 และ 1997 ในขณะที่มีอายุระหว่าง 50 – 75 ปีและอยู่ในช่วงของวัยทอง
ทีมนักเคมีและผู้เชี่ยวชาญด้านความสะอาดระดับอุตสาหกรรมได้ทำการตรวจสอบระดับของการสัมผัสสารต่างๆกว่า 300 ชนิดของกลุ่มสตรีตัวอย่างในเวลาทำงาน และหลังจากที่ได้มีการศึกษาไปถึงปัจจัยที่มีโอกาสทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมแล้ว นักวิจัยได้สรุปว่าสารเคมีเหล่านี้มีส่วนพัวพันทำให้เกิดมะเร็ง
จากการเปรียบกันระหว่างกลุ่มสตรีที่ถูกสำรวจแล้ว ความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งจะสูงสุดที่อายุ 36 ปี ซึ่งก็หมายความว่าสตรีที่สัมผัสกับสารประเภทอะคริลิกในไฟเบอร์ จะมีโอกาสเป็นมะเร็งได้มากถึง 7 เท่าในขณะที่ผู้มี่สัมผัสกับไนลอนไฟเบอร์จะมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมถึง 2 เท่า
อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่ายังคงต้องทำการศึกษาสารเคมีต้องสงสัยเหล่านี้ให้ละเอียด ซึ่งจะใช้เป็นตัวตัดสินใจได้ว่าสารเคมีเหล่านี้นั้นก่อให้เกิดมะเร็งเต้านมได้อย่างไร
