2025-05-18

รู้จักออสเตรเลีย




มารู้จักประเทศออสเตรเลียกันก่อน

 

ประเทศออสเตรเลีย มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า เครือรัฐออสเตรเลีย (มาจากชื่อภาษาอังกฤษว่า Commonwealth of Australia) มีพื่นที่มากเป็นอันดับที่ 6 ของโลก ประกอบไปด้วยแผ่นดินหลัก เกาะแทสโมเนีย และเกาะอื่นๆ ในมหาสมุทรอินเดีย แปซิฟิก และมหาสมุทรใต้ ทางตอนเหนือของประเทศ ติดกับ อินโดนีเซีย ปาปัวนิวกินี และติมอร์ตะวันออก ทางตะวันออกเฉียงเหนือติดกับ หมู่เกาะโซโลมอน วานูอาตู และนิวแคลิโดเนีย ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ติดกับประเทศนิวซีแลนด์

 

australia001.jpg

 

 

ชื่อของประเทศออสเตรเลีย มาจากรากศัพท์ภาษาละตินว่า australis ซี่งหมายถึงดินแดนทางตอนใต้ ตามตำนานที่อ้างอิงถึง terra australis incognita” ซึ่งหมายถึง “ดินแดนทางใต้ที่ไม่รู้จัก” เพราะชาวยุโรป เพิ่ง สำรวจค้นพบออสเตรเลียในพุทธศตวรรษที่ 22 จากนั้นประเทศออสเตรเลียก็เกิดความเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก นับแต่ที่นักสำรวจชาวยุโรป นักโทษ ผู้ตั้งถิ่นฐานอิสระ และผู้อพยพในระยะหลังได้เริ่มเข้ามา

 

ประวัติศาสตร์ประเทศออสเตรเลีย


australia002.jpgชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในประเทศออสเตรเลียแต่ดั้งเดิมนั้น เรียกว่า ชาวอะบอริจิน ซึ่งชนเผ่าที่มีวัฒนธรรมที่ต่อเนื่องยาวนานที่สุดในโลกนับย้อนหลังไปได้จนถึงช่วงยุคน้ำแข็ง โดยมีข้อสันนิษฐานว่ามนุษย์กลุ่มแรกสุดที่เดินทางมาที่นี่นั้น ข้ามมาจากฝั่งประเทศอินโดนีเซียเมื่อราว 70,000 ปีมาแล้ว และจากการบันทึกในปี 1788 ก็มีการประมาณการว่ามีชาวอะบอริจินอยู่ในออสเตรเลียถึง 780,000 คน

 

ชาวโปรตุเกสเป็นชาวยุโรปกลุ่มแรกที่เดินทางมาถึงออสเตรเลีย ในศตวรรษที่ 16 จากนั้นก็ตามมาด้วยกลุ่มของนักสำรวจชาวฮอลแลนด์ และโจรสลัดชาวอังกฤษ ซึ่งในปี 1770 กัปตันชาวอังกฤษชื่อ เจมส์ คุก ประกาศให้ดินแดนนี้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศอังกฤษโดยตั้งชื่อว่า นิวเซาท์เวลส์

 

ในปี 1779 โจเซฟ แบงค์ หนึ่งในทีมของกับตันคุก เสนอให้อังกฤษส่งนักโทษมาที่ นิวเซาท์เวลส์ เพื่อลดความแออันในคุก เรือนักโทษกลุ่มแรก เดินทางมาถึงในวันที่ 26 มกราคม ปี 1788 ซึ่งต่อมาวันที่ 26 มกราคม กลายเป็นวันออสเตรเลีย คนกลุ่มแรกที่เดินทางมาถึงประเทศออสเตรเลีย ต้องประสบกับความร้อนระอุ ทุรกันดาร ความอดอยาก ชนกลุ่มนี้เป็นผู้บุกเบิกสร้างวัฒนธรรมและกลายเป็นตำนานของการสร้างออสเตรเลีย เรียกว่า “นักต่อสู้ชาวออสซี่” การขนส่งนักโทษยุติอย่างเป็นทางการในปีพ.ศ. 2396

 

แม้ว่าหลังจากนั้นจะมีนักตั้งถิ่นฐานย้ายเข้ามาสู่ออสเตรเลียมากเข้า แต่สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้คนหลั่งไหลกันเข้ามาอยู่ที่นี่ คือการค้นพบสายแร่ทอง ในเขตนิวเซาท์เวลส์ ทำให้เกิดยุคตื่นทองขึ้น และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของเศรษฐกิจและสังคม มีผู้มาใหม่เข้ามาแย่งกันจับของที่ดินทำฟาร์มและขุดทำเหมืองแร่ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้ชาวพื้นเมืองอะบอริจินถูกขับไล่ออกจากดินแดนของตนอย่างไร้ความปราณี

 

ในปี 1901 อาณานิคมต่างๆรวมตัวกันเกิดเป็น “เครือรัฐออสเตรเลีย” ประกอบด้วยรัฐนิวเซาท์เวลส์ รัฐวิกตอเรีย รัฐควีนส์แลนด์ รัฐเซาท์ออสเตรเลีย รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย และรัฐแทสเมเนีย รัฐเหล่านี้ยังรวมอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญเดียวกัน

 

เมื่อโลกเผชิญกับสงครามโลกครั้งที่ 1 กองทัพของออสเตรเลีย ซึ่งมีอาสาสมัคร60,000 คน จากประชากรชายทั้งหมดในประเทศที่มีไม่ถึง 3 ล้านคน ได้ต่อสู้เคียงข้างกองทัพอังกฤษ และยังคงเข้าร่วมในฝ่ายเดียวกับอังกฤษ ในสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ว่าออสเตรเลีย จะประกาศใช้บทกฎหมายเวสต์มินสเตอร์ คริสต์ศักราช 1931 ซึ่งยุติบทบาทของอังกฤษในออสเตรเลียทั้งหมด และ ประกาศใช้บทกฎหมายเวสต์มินสเตอร์ คริสต์ศักราช 1931 นั้น ยกเลิกบทบาทของอังกฤษในอำนาจนิติบัญญัติและตุลาการของออสเตรเลียโดยสิ้นเชิง

 

สังคมและการเมืองในช่วงยุคศตวรรษที่ 20


หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวยุโรป อพยพมาอยู่ในออสเตรเลียจำนวนมาก ทำให้เกิดสีสันและความแตกต่างของวัฒนธรรมและทำให้วิสัยทัศน์ของออสเตรเลียกว้างขวางขึ้น มีการยกเลิกค่าเล่าเรียนระดับปริญญา บริการระบบสาธารณสุขฟรี และให้สิทธิในที่ดินแก่ชาวอะบอริจินเพิ่มมากขึ้นด้วย

 

ประชากร


จากการสำรวจในปี 2007 พบว่าปัจจุบันนี้ ประเทศออสเตรเลีย มีประชากร 21 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่จะสืบเชื้อสาย มาจากชาวยุโรปที่อพยพ โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่สอง มีผู้อพยพเข้ามาอยู่ใหม่ถึง 5.9 ล้านคน นอกจากนั้น ก็ยังมีชนเผ่าพื่นเมืองได้แก่ อะบอริจิน และ ชาวเกาะช่องแคบทอร์เรสทั้งนี้ รัฐบาลออสเตรเลีย ส่งเสริมความสามัคคีระหว่างชนชาติ ต่างๆ จนกลายเป็นดินแดนแห่งพหุวัฒนธรรม

 

ชาวออสเตรเลียส่วนใหญ่จะสนใจในกีฬาและกิจกรรมกลางแจ้ง มีการประมาณการกันว่า ชาวออสเตรเลีย 6.5 ล้านคน หรือประมาณหนึ่งในสามของทั้งหมดได้ลงทะเบียนเป็นผู้มีส่วนร่วมในการกีฬา

 

ประเทศออสเตรเลียไม่มีศาสนาประจำชาติ แต่ส่วนใหญ่จะประกาศตัวว่านับถือศาสนาคริสต์ โดยเป็น คริสเตียน (64%) โรมันคาทอลิค 26 % เป็นแองกลิกัน 19%

 

สกุลเงินที่ใช้ คือดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD)

 

ระบอบการปกครอง


แม้ว่าประชากรรุ่นหลังๆ ของออสเตรเลีย จะไม่เห็นความสำคัญของความผูกพันทางรัฐธรรมูญกับประเทศอังกฤษ และมีแนวคิดที่จะเปลี่ยนประมุกของรัฐไปเป็นประธานาธิบดีออสเตรเลียและให้ออสเตรเลีย เป็นสาธารณะรัฐ แต่เมื่อจัดให้มีการลงมติในปี 1999นั้น 55% ของจำนวนประชากรผู้มิสิทธิ์ออกเสียง ปฏิเสธระบอบดังกล่าว องค์ประมุกของออสเตรเลีย จึงยังคงเป็นสมเด็จพระราชินีนาถที่ 2 โดยมีผู้สำเร็จราชการซึ่งจะพำนักอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย และมีอำนาจในการแต่งตั้งรัฐมนตรี ผู้พิพากษา การยุบสภา และการลงนามใช้กฏหมาย โดยในทางปฏิบัติแล้ว ก็จะเป็นไปตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี

 

เนื่องจากออสเตรเลียประกอบด้วย หกรัฐ อันได้แก่รัฐนิวเซาท์เวลส์ รัฐควีนส์แลนด์ รัฐเซาท์ออสเตรเลีย รัฐแทสเมเนีย รัฐวิกตอเรีย และรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย และดินแดนหลักในแผ่นดินใหญ่อีก 2 แห่งคือ นอร์เทิร์นเทร์ริทอรี และเขตเมืองหลวง(แคนเบอร์ร่า)คือ ออสเตรเลียนแคพิทอลเทร์ริทอรี ออสเตรเลียจึงมีสภาถึง 9 สภา คือหนึ่งสภาของสหพันธ์ หกสภาของแต่ละรัฐ และสองสภาของแต่ละดินแดน ในส่วนของสภาของสหพันธ์นั้น จะมีทั้งสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีจำนวน 150 คน มาจากการเลือกตั้ง และวุฒิสภา ซึ่งมีจำนวนสมาชิก 76 คน มาจากรัฐ รัฐละ 12 คน และจากดินแดนหลัก ส่วนละ 2 คน

 

ในส่วนของพรรคการเมืองนั้น ออสเตรเลียมีพรรคการเมืองหลักทั้งหมด 3 พรรค อันได้แก่ พรรคแรงงานออสเตรเลีย พรรคเสรีนิยม และพรรคชาติ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน คือนาย เควิน รัดด์ นั้นมาจากพรรคแรงงาน

 


ลักษณะภูมิประเทศของออสเตรเลีย

 

australia003.jpg


ประเทศออสเตรเลียมีพื้นที่ 7,686,850 กม.ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย และที่ราบสูงทางทิศตะวันตกของประเทศ แต่ส่วนที่มีประชากรอยู่หนาแน่น จะเป็นทางตะวันออกหลังเทืองเขาเกรตดิไวดิ้ง ที่จะแบ่งเขตตะวันออก ออกจากส่วนที่แห้งแล้ง หรือที่เรียกกันว่า เอาท์แบ็ค แม่น้ำสายสำคัญๆ คือแม่น้ำ แม่น้ำดาร์ลิง แม่น้ำเมอร์เรย์ นั้นจะอยู่ทางฝั่งตะวันออกทั้งหมด และส่วนที่แห้งแล้งที่สุด คือส่วนกลางของประเทศ ที่เรียกว่า เซ็นทรัลโลว์แลนด์

 

สภาพภูมิอากาศ


เนื่องจากประเทศออสเตรเลีย อยู่ใต้เส้นศูนย์สูตร ดังนั้นพื้นที่กว่า 1 ใน 3 จึงอยู่ในเขตร้อน และส่วนที่เหลือ จะอยู่ในพื้นที่เขตอบอุ่น แต่เนื่องจากประเทศออสเตรเลียมีพื้นที่ขนาดใหญ่ จึงมีสภาพอากาศที่หลากหลาย แต่โดยทั่วไปแล้วจะเย็นสบาย

 

ออสเตรเลียมี 4 ฤดู คือ

• ฤดูร้อน : เดือนธันวาคม ถึง เดือนกุมภาพันธ์
• ฤดูใบไม้ร่วง : เดือนมีนาคม ถึง เดือนพฤษภาคม
• ฤดูหนาว : เดือนมิถูนายน ถึง เดือนสิงหาคม
• ฤดูใบไม้ผลิ : เดือนกันยายน ถึง เดือนพฤศจิกายน

 

 

รัฐนิวเซาท์เวล


australia_sydney.jpgตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย และเป็นที่ตั้งของเมืองซิดนีย์ จึงเป็นเขตที่มีประชากรหนาแน่น และมีนักศึกษาไปเรียนเยอะที่สุด รัฐนิวเซาท์เวล แบ่งออกเป็น 4 ภูมิภาคคือ แนวชายฝั่ง แนวเทือกเขาเกรตดิไวดิ้งเรนจ์ที่อยู่ลึกเข้ามาในตัวทวีปประมาณ 100 กม. จากชายฝั่ง เขตภูเขาบลูเมาเทนทางจะวันตกของซิดนีย์ และเขตภูเขาสโนวีเทาเทน ทางทิศใต้ 2 ใน 3 ของพื้นรัฐอยู่ในเขตแนวเทือกเขาเกรตดิไวดิ้ง เป็นที่ราบ แห้งแล้ว ในฤดูร้อนจะร้อนจัด แต่ในปกติแล้วในเมืองซิดนีย์จะมีอากาศดี อุณหภูมิเฉลี่ยในฤดูร้อนประมาณ 25 องศา แต่อาจขึ้นถึง 40 องศาเซลเซียสในบางฤดูร้อน

 

รัฐนิวเซาท์เวล มีสถานที่ที่น่าสนใจหลายที่ อาทิเช่นชมชายหาดอันไร้ที่สิ้นสุดที่อ่าวบารอน สำรวจป่าและภูเขาคอสซิอัสโก้ที่สูงที่สุดในออสเตรเลียที่อุทยานแห่งชาติคอสซิอัสโก้ ชมโรงทำแก้วไวน์ในหุบเขาฮันเตอร์อันเป็นแหล่งผลิตแก้วไวน์ที่ใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย และที่น่าสนใจมากอีกแห่งคือโอเอซิสโบรเค่นฮิลล์ เขตไร้ผู้คนท่ามกลางทะเลทราย ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเหมืองแร่เงิน และชุมชนศิลปินมาก่อน

 

เมืองหลวงของรัฐคือซิดนีย์นั้นเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในออสเตรเลีย และมีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก และแม้ครั้งหนึ่งซิดนีย์จะเคยเป็นหนึ่งในดินแดนเขตอาณานิคมนักโทษของอังกฤษ แต่ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของวัฒนธรรมที่เปิดกว้างและหลากหลายที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ชาวเมืองซิดนีย์จะเพลินเพลินจากศิลปวัฒนธรรมต่างๆ โดยเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นโรงละครโอเปร่าเฮ้าส์ หรือการแสดงดนตรีสดที่มีให้ชมเป็นประจำทุกคืน

 

รัฐวิคตอเรีย


australia_melbourne.jpgเป็นรัฐบนแผ่นดินใหญ่ที่เล็กที่สุด แต่มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย มีทั้งหาดทรายและเทือกเขา ทะเลทรายและป่าไม้ รวมถึงที่ราบที่เกิดจากภูเขาไฟ นอกจากนี้ยังมีสวนสาธารณะมากมาย จึงได้ชื่อว่าเป็น Garden State

 

วิคตอเรียเป็นรัฐที่มีสภาพอากาศแบบสุดขั้ว คือฝนตก ลมแรง ร้อนมาก หรือหนาวมากและบางครั้งก็เกิดในวันเดียวกัน แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ด้วยอุทยานต่างๆ แหลมมอร์นิงตั้น & เบลลารีน อันเป็นที่ตั้งของควีนส์คลิฟ รีสอร์ตริมทะเลที่มีชื่อเสียง เส้นทางเลียบทะเลที่ว่ากันว่าสวยที่สุด เกรท โอเชี่ยน โร้ด (Great Ocean Road) ไต่หน้าผาที่ เดอะ แกรมเพียนส์ (The Grampians) และ วิลสันส์ พรอมอนทอรี่ (Wilsons Promontory) อุทยานแห่งชาติที่โด่งดังมากที่สุดแห่งแห่งหนึ่ง

 

เมืองหลวงของรัฐวิคตอเรีย คือเมืองเมลเบิร์นนั้นนับได้ว่าเป็นศูนย์รวมของความแตกต่างทางวัฒนธรรมอย่างแท้จริง เพราะว่ามีประชากรประมาณ 40% ของเมืองนี้ ที่โยกย้ายถิ่นฐานมาจากที่อื่น ไม่ได้เกิดในประเทศออสเตรเลีย แต่ความแตกต่างเหล่านี้ ทำให้เมืองเมลเบิร์นขึ้นชื่อในความเป็นมิตรของผู้คนและเป็นศูนย์กลางที่มีชือเสียงด้านศิลปวัฒนธรรม คุณสามารถชมการแสดงที่หลากหลายจากทุกชนชาติได้ที่นี่

 

มณฑลนครหลวงของออสเตรเลีย


australia_canberra.jpgตั้งอยู่ในเขตตัวทวีปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐนิวเซาท์เวล ทิศใต้และตะวันตกเป็นทิวเขา มีแม่น้ำและแอ่งน้ำที่สะอาด สวยงามของอุทยานแห่งชาตินามาดจิ ที่ครอบคลุมพื้นที่ถึง 40% ของมณฑล ทางฝั่งทิศตะวันออกเฉียงเหนือของมณฑลเป็นที่ตั้งของ แคนเบอร่า เมืองหลวงของออสเตรเลีย โดยมณฑลแห่งนี้ เดิมตั้งขึ้นเพื่อล้อมรอบเมืองหลวงไว้ ทำให้มณฑลนครหลวงของออสเตรเลีย ไม่เพียงแต่สวยงามไปด้วยธรรมชาติ แต่ยังมีคุณค่าในเชิงภูมิศาสตร์ทางการเมือง สังคมและวัฒนธรรมอีกด้วย ปัจจุบันนักท่องเที่ยวยังคงนิยมเดินทางมาที่นี่ เพื่อสัมผัสความงามของมณฑลซึ่งมีอายุถึง 100 ปี ขี่จักรยานท่องเที่ยวในเขตอุทยานแห่งชาตินามาดจิ ชมการแสดงเทคโนโลยีการสำรวจอวกาศที่ศูนย์อวกาศแห่งแคนเบอร่า ชมบรรยากาศของหมู่บ้านอาณานิคมที่ หมู่บ้านโกลด์ครีก และชมงูบกที่อันตรายที่สุดในโลก 3 ชนิดที่ศูนย์สัตว์เลือยคลานแห่งออสเตรเลีย

 

อากาศในเขตมณฑลนครหลวงของออสเตรเลียซึ่งมีพื้นที่ 2366 ตารางกิโลเมตรนั้น ค่อนข้างอบอุ่นสบาย หน้าหนาวอาจมีน้ำค้างแข็งและหมอก ปีหนึ่งๆ จะมีหิมะตกไม่เกิน 2 ครั้ง แต่จะตกมากกว่านั้นในเขตเทือกเขาของอุทยานแห่งชาตินามาดจิ

 

ชื่อเมืองหลวงแคนเบอร่านั้น มาจากคำว่า แคมเบอร่า” (Kamberra) ซึ่งมาจากภาษาอะบอริจินแปลว่า จุดนัดพบ และเป็นที่ตั้งของรัฐสภาออสเตรเลียมาตั้งแต่ปี 1927 ปัจจุบัน กลายเป็นศูนย์กลางการเมืองของออสเตรเลีย และเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญต่างๆในออสเตรเลียมากมายหลายแห่ง รวมถึงสะพานซิดนีย์ฮาร์เบอร์ ที่เป็นเอกลักษณ์ของออสเตรเลีย

 

รัฐควีนส์แลนด์


australia_bribane.jpgรู้จักกันในชื่อของ “รัฐแห่งแสงแดด” เพราะมีแสงแดดจ้า และอากาศดี จะไม่ค่อยมีอากาศต่ำกว่า ลบ 20 องศาเซลเซียส แต่อากาศจะดีที่สุดในฤดูหนาว (มิถุนายนถึงสิงหาคม)

 

ควีนส์แลนด์ตั้งอยู่ในแนวชายฝั่งทะเล ทางตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย และเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวตากอากาศมากมาย เช่น ชายฝั่งซันไชน์ (Sunshine Coast) ชายฝั่งโกลด์โคสท์ (Gold Coast) และแนวหินปะการังที่ยาวที่สุดในโลก เกรทแบเรียรีฟ (Great Barrier Reef) ทะเลสาบน้ำจืดกว่า 200 แห่งในเกาะฟราเซอร์ (Fraser Island)และ ท้องฟ้าไร้เมฆที่ หมู่เกาะวิทซันเดย์ (Whitsunday Islands) เป็นต้น

 

เมืองหลวงของรัฐควีนส์แลนด์ คือเมืองบริสเบน (Brisbane)เป็นเมืองใหญ่ที่เงียบสงบกว่าเมืองหลวงในรัฐอื่นๆของออสเตรเลีย แต่มีความผสมผสานกลมกลืนทางวัฒนธรรมและความเจริญเป็นอย่างดี ในบริสเบน จะมีทั้งโรงหนัง โรงละคร หอศิลป์ พิพิธภัณฑ์ และสถานที่แสดงดนตรีสด หรือจะเลือกชมสวนกึ่งเขตร้อน และวิวจากตึหรือแม่น้ำ บริสเบนที่ไหลคดเคี้ยวโอบล้อมศูนย์กลางเมืองเป็นรูปตัวยู นอกจากนั้นยังมีสถาปัตยกรรมหินทรายที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์ยุคอาณานิคมกระจายอยู่ตามที่ต่างๆทั่วเมือง บริสเบนอีกด้วย

 

ศูนย์กลางของกิจกรรมต่างๆ ของเมืองจะอยู่ในเขตจะอยู่ที่ถนนคนเดิน “ควีนสตรีทมอลล์” (Queen St Mall) ส่วนแหล่งรวมแฟชั่นต่างๆ จะอยู่ที่เวสเอนด์ทางทิศใต้

 

นอกจากนั้นควีนส์แลนด์ โดยมีผู้อพยพมาจากทั่วโลกที่หลั่งไหลเข้ามาในช่วงศตวรรษที่ 19 ยุคขุดทอง และหลังสงครามโลกครั้งที่สองจนทำให้รัฐนี้มีวัฒนธรรมที่หลากหลาย

 

ทัสมาเนีย


australia_tasmania.jpgเป็นเกาะที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศออสเตรเลีย และเป็นรัฐที่มีขนาดเล็กที่สุดของออสเตรเลีย และอากาศที่ค่อนข้างเย็น ทำให้ได้ชื่อว่า “สวิสเซอร์แลนด์ของออสเตรเลีย” และเป็นเกาะที่อยู่ ทางล่างสุดของโลก แต่ถึงแม้จะมีขนาดเล็ก สภาพภูมิประเทศของทัสมาเนียก็โดดเด่นไม่แพ้กับทื่อื่น ด้วยป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์ หินเดอะนัทที่เกิดจากภูเขาไฟอายุราว 13 ล้านปีที่เมือง แสตนลีย์ น้ำใสแจ๋วและหาดทรายขาวสวยงามที่อ่าวไวน์กลาส ช่องเขาลึก และทุ่งพุ่มไม้ป่าที่ปัจจุบันเป็นกิจกรรมท่องเที่ยวยาว 80.5 กม. ที่ชื่อว่า เส้นทางโอเวอร์แลนด์ แทร็ก ทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐทัสมาเนียเป็นป่าเปลี่ยวในเขตอบอุ่น ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าบริสุทธิ์แห่งสุดท้ายในโลกที่ยังเหลืออยู่ ความงดงามโดดเด่นนี้เองที่ทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่ของแถบนี้ถูกขึ้นชื่อเป็นมรดกโลกแล้ว

 

เมืองหลวงของทัสมาเนีย คือเมืองโฮบาร์ตซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่อันดับสองของออสเตรเลีย และอุดมไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรมจากยุคอาณานิคม และความงดงามของธรรมชาติจากแม่น้ำเดอร์เวนท์ ที่ไหลผ่านกลางรัฐและมีภูเขาเวลลิงตันตั้งตระหง่านเป็นฉากหลัง เมืองทัสมาเนียโดดเด่นด้วยศิลปะ และสถาปัตยกรรมจากยุคจอร์เจียน ดังจากเห็นได้ตามหอศิลป์และจากสิ่งก่อสร้างต่างๆ ซึ่งมีอยู่ทั่วเมือง สถานที่ท่องเที่ยวและจุดสนใจของเมืองทัสมาเนีย จะอยู่ในระยะที่เดินถึงกันได้ เพราะเป็นเมืองที่มีขนาดเล็ก และมักจะอยู่บริเวณใจกลางเมือง หรือริมแม่น้ำ

 

รัฐเวสเทอร์นออสเตรเลีย


australia_perth.jpgเป็นรัฐที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในออสเตรเลียและมีพื้นที่ครอบคลุมถึง 1 ใน 3 ของประเทศ มีชายฝั่งทะเลที่งดงามทอดยาวถึง 1200 กิโลเมตร และเป็นศูนย์รวมของพันธุ์ดอกไม้ป่านานาพันธุ์ ทั้งยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยเหมืองแร่ และแร่ทองคำ ตอนกลางของรัฐเป็นที่ราบกว้างใหญ่ที่มีแม่น้ำใหญ่ถึง 5 สายไหลมาบรรจบกัน ส่วนทางพื้นที่ตอนใต้ มีทั้งต้นไม้ขนาดใหญ่และชั้นหินแกรนิตที่มีอายุนับล้านๆปี

 

แม้พื้นที่ส่วนหนึ่งของรัฐเวสเทอร์นออสเตรเลียจะเป็นพื้นที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน แต่ทางตะวันตกเฉียงใต้ อุดมไปด้วยป่าและไร่องุ่น และมีชื่อเสียงเรื่องไวน์ขาว โดยเฉพาะไวน์ Sauvignon Blanc อันเป็นผลผลิตที่มีชื่อเสียงของรัฐนี้

 

นอกจากชิมไวน์อันเลื่องชื่อแล้วรัฐเวสเทอร์นออสเตรเลีย ยังขึ้นชื่อเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นและสวยงาม ไม่ว่าจะเป็น สะพานสูงเสียดยอดไม้ที่ สะพานระดับยอดไม้ที่ แวลลี่ ออฟ เดอะ ไจแอนท์ส ซึ่งเต็มไปด้วยต้น tingle สูงกว่า 60 เมตร อุทยานทางทะเลนินกาลู ที่มีแนวปะการังอันสวยงาม หรือท่องเที่ยวแบบผจญภัยในภูมิประเทศเก่าแก่ ทีมีทั้งหุบเหวลึก แม่น้ำหลายสายและน้ำตกขนาดใหญ่ ที่ เดอะ คิมเบอร์ลี่ และสำรวจเหมืองทองเก่า และเมืองร้างในแถบดินแดนห่างไกลเดอะ เซาท์เธิร์น เอ๊าท์แบค

 

กิจกรรมกลางแจ้ง เป็นจุดเด่นของผู้คนในรัฐ ซึ่งรวมถึงชาวเมืองเพิร์ธอันเป็นเมืองหลวงของรัฐเวสเทอร์นออสเตรเลียด้วย ชาวเมืองจะรักกีฬากลางแจ้ง ว่ายน้ำ โต้คลื่น ตกปลา ล่องเรือและดำน้ำ เพราะเมืองเพิร์ธจะมีฤดูร้อนที่ยาวนาน มีฝนตกน้อย อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ประมาณ 30 องศาเซลเซียส และฤดูหนาวจะอยู่ประมาณ 18 องศา

 

รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย เป็นรัฐที่อยู่ใกล้ประเทศไทยมากที่สุดด้วยเวลาบินเพียง 6 ชั่วโมงเท่านั้น

 

รัฐเซาท์ออสเตรเลีย


australia_adelaide.jpgดินแดนทางตอนใต้ของออสเตรเลีย เป็นดินแดนที่เหมาะกับการสำรวจ ไม่ว่าจะเป็นการ ท่องเที่ยวทางรถยนตร์หรือเดินทางไกล หรือปั่นจักรยานไปตามพื้นที่ขรุขระ นอกจากนั้นยังสามารถชื่นชมปรากฏการณ์ทางธรรมชาติสวยๆ ไม่ว่าจะเป็นการ อพยพของปลาวาฬเซาท์เทิร์นไรท์เวล หรือนกอพยพที่คูรอง ทะเลสาบบูล ชมสัตว์ป่าที่เทือกเขาไฟเดอร์ และบนเกาะจิงโจ้ก็มีทั้งสัตว์ป่า จิงโจ้ แมวน้ำและสิงโตทะเลให้ชม



เซาท์ออสเตรเลีย ยังขึ้นชื่อในเรื่องของไวน์รสเลิศ ซึ่งปลูกกันอยู่ในเขตปลูกไวน์ เช่นในหุบเขาแคลร์ ซึ่งมีโรงทำไวน์ตั้งอยู่

 

เมืองหลวงของรัฐเซาท์ออสเตรเลียคือเมืองอะดิเลค อันได้เชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรม ชาวอาณานิคมยุคแรกที่มาที่เมืองอะดิเลค อันเป็นที่อยู่ดั้งเดิมของชนเผ่าคาเออน่านั้น สร้างเมืองอะคิเลคด้วยหิน ให้สง่างามและทนทานต่อสภาพอากาศร้อนและแล้งแบบเมดิเตอเรเนียน แต่ปัจจุบันอะดิเลคมีสิ่งหน้าสนใจที่หลากหลาย และเป็นที่ที่จัดงานที่มีชื่อเสียงต่างๆของโลก ไม่ว่าจะเป็นงานวัฒนธรรม แข่งกีฬาหรือกิจกรรมทางการศึกษา หรืองานศิลปะใหญ่ๆ อย่างงานเทศกาลศิลปะแห่งอะดีเลด ที่จะจัดในเดือนมีนาคม ปีเว้นปี

 

มณฑลตอนเหนือ (Northern Territory)


australia_darwin.jpgเขตปกครองตนเอง นอร์เทิร์นเทร์ริทอรีซึ่งอยู่ใกล้กับประเทศอินโดนีเซียที่สุดนั้น มีประชากรอยู่น้อยและเป็นที่อยู่อาศัยดั้งเดิมของชาวพื้นเมืองเผ่าอะบอริจิน เป็นเมืองที่สงบและสบาย แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีวัฒนธรรมและธรรมชาติที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาคิงส์แคนย่อนหนึ่งในทัศนียภาพที่สวยงามที่สุดของออสเตรเลีย หินอูลูรูที่เปลี่ยนสีได้ อุทยานแห่งชาติกากาดู ซึ่งมีศิลปะหินของชาวพื้นเมืองอะบอริจิน หุบเขาสายรุ้ง เรนโบว์แวลเล่ย์แสนสวยและเงียบสงบอย่างน่าทึ่ง หรือหากใครต้องการชมวิถีชีวิตแบบเรียบง่ายของชาวอะบอริจิน ก็สามารถชมได้ที่หมู่เกาะทีวี่

 

เมืองหลวงของเนอร์เทิร์นเทร์ริทอรี คือเมืองดาร์วินนั้น มีลักษณะผสมผสานระหว่างความเป็นเอเซียกับความเป็นออสเตรเลีย เพราะอยู่ใกล้ทั้งอินโดนีเซียและสิงคโปร์ และมีสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างจากดินแดนในเขตร้อนอื่นๆ คือแบ่งเป็นฤดูแล้วและฤดูฝน ชายหาดของเมืองดาร์วิน อาจเต็มไปด้วยแมงกระพรุน ไม่เหมาะแก่การลงเล่นน้ำ แต่ก็ยังมีวิวสวยๆ และร้านกาแฟน่านั่งริมอ่าวให้ชม รวมถึงร้านอาหารกว่า200 แห่งที่ตลาดพระอาทิตย์ตกชายหาดมินดิล

 

แม้ว่าเขตปกครองตนเอง นอร์เทิร์นเทร์ริทอรีจะเป็นที่อยู่ของชาวพื้นเมืองอะบอริจิน แต่ก็อยู่ท่ามกลางศูนย์เทคโนโลยีสมัยใหม่ด้วยเช่นกัน

NATUI Officially 2008-01-14 02:41:23 41177