รัฐบาลออสเตรเลียล้มเหลว! แจกเงินแต่คนตกงาน ฝ่ายค้านแนะนำลดภาษี!

เงินที่รัฐบาลได้อัดเข้ามาก่อนช่วงเทศกาลคริสมาสต์กว่า 10.4 ล้านเหรียญเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดการเจริญเติบโตภายในประเทศนั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดการสร้างงานแต่อย่างใดตามที่รัฐบาลได้ออกมาวางแผนไว้

รัฐมนตรีฝ่ายค้านกระทรวงการคลัง Joe Hockey ออกมากล่าวว่าเงินที่รัฐบาลออกมาแจกจ่ายให้กับประชาชนนั้นไม่ได้ช่วยป้องกันไม่ให้ประชาชนนั้นตกงานแต่อย่างใดอย่างที่นายกรัฐมนตรี Kelvin Rudd ได้ออกมาพูดไว้ในตอนต้น

Joe กล่าวต่อไปว่าการที่รัฐบาลนำเงินออกมาแจกนั้นได้ก็ให้เกิดกระแสการออกมาใช้เงินจับจ่ายซื้อสินค้ากันมาขึ้นและทำให้งาน part time เพิ่มมากขึ้น แต่ประชาชนนั้นต่างก็ต้องการงานประเภท full time เพื่อที่จะได้มีเงินก้อนเก็บและสามารถซื้อและผ่อนบ้านได้

Joe ยังได้แนะนำต่อไปว่าวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการป้องกันไม่ให้ประชาชนนั้นตกงานคือการลดเงินภาษีลง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุน ประชาชนกล้าเสี่ยงทำธุรกิจ และเกิดงานขึ้น และการลดอัตราการเก็บของภาษีรายได้นั้นเป็นสิ่งที่พรรคของตนนั้นเชื่อเป็นอย่างมาก

Joe กล่าวต่อไปอีกว่าตนนั้นไม่เชื่อว่าการที่ทรัพยากรธรรมชาติในประเทศลดน้อยลงนั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้ประชาชนทำงาน full time น้อยลง และในภาคอุตสาหกรรมดังกล่าวนั้นไม่ได้เป็นภาคที่มีจากจ้างงานมากนัก ที่มากเป็นพิเศษนั้นเห็นจะเป็นในภาคอุตสาหกรรมการโรงแรมและธุรกิจขนาดย่อม

Joe ยังได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลนั้นจัดทำรายงานประเมินผลกระทบหากมีการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายในภาคอุตสาหกรรมอีกด้วย นอกจากนี้ทางกลุ่มสวัสดิการทางสังคมกล่าวว่าประชาชนคนใดที่ตกงานนั้นอย่างน้อยควรจะได้รับเงินค่าใช้จ่ายจากรัฐบาลเป็นเงินขั้นต่ำเท่ากับค่าจ้างฝึกงาน

ส่วนทาง Australian Council of Social Service (ACOSS) เองนั้นก็ได้ออกมากล่าวว่ารัฐบาลนั้นควรจะเพิ่ม unemployment benefit จาก 30 เหรียญต่ออาทิตย์ไปเป็น 255 เหรียญแทน

ในปัจจุบันนี้นั้น Unemployment benefit หรือที่รู้จักกันในชื่อ Newstart Allowance สำหรับบุคคลใดๆนั้นอยู่ที่ 50 เหรียญต่ออาทิตย์ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยกว่าเงินบำนาญผู้สูงอายุ และประชาชนคนใดก็ตามที่ใช้ประสบการณ์ทำงานในการขอสิทธิ์รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลนั้นจะได้เป็นเงินตอบแทน

จำนวนเงินดังกล่าวนั้นมีมูลค่าเท่ากับเงินที่จ่ายให้กับลูกจ้างฝึกงานเป็นระยะเวลา 6 เดือน หรือมีการทำข้อตกลงกับนายจ้างก่อนที่จะถูกให้ออกจากงาน นอกจากนี้ภายใต้การช่วยเหลือในรูปแบบดังกล่าวนั้นจะช่วยให้ป้องกันไม่ให้ประชาชนต้องตกที่นั่งลำบากยากจนลงอีกด้วย