รัฐบาลต้องการให้ประชาชนสุขภาพดี ขึ้นราคาบุหรี่กับเหล้าซะ

ราคาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ อาจสูงขึ้นในขณะที่ข้อจำกัดจะมีผลบังคับไม่ให้การตลาดของสินค้าเหล่านี้ หลอกล่อวัยรุ่น ภายใต้มาตรการเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนในประเทศมีสุขภาพและรูปร่างที่ดีขึ้น

นอกจากนี้ภายใต้นโยบายของรัฐบาล ประชาชนที่มีฐานะยากจนจะได้รับเงินหรือบัตรกำนัลในการซื้ออาหารที่มีประโยชน์มารับประทานอีกด้วย
นสพ Herald Sun ได้รายงงานว่า ภายใต้การรณรงค์ของรัฐบาลนั้น ยังได้รวมไปถึงมาตรการในการลดระดับ เกลือ ไขนัม และน้ำตาลในอาหาร ในการแก้ปัญหาโรคอ้วนซึ่งทำให้รัฐบาลต้องสูญเงินไปเป็นจำนวน 58 พันล้านเหรียญในแต่ละปี

นายกรัฐมนตรี Kevin Rudd ได้เลือกให้หน่วยงาน Preventative Health Taskforce เป็นศูนย์กลางในการเดินเรื่องรณรงค์เพิ่อสุขภาพทั้งหมด และหนึ่งในมาตรการที่จะนำมาใช้นั้นคือการกำหนดระดับภาษีขั้นต่ำของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจะทำให้เครื่องดื่มราคาถูกที่เป็นที่นิยมของกลุ่มวัยรุ่น ตามท้องตลาดนั้นมีราคาแพงมากขึ้น ในขณะเดียวกันราคาไวน์ชั้นดี นั้นอาจจะตกลงมา

หน่วยงาน Preventative Health Taskforce ต้องการให้มีการควบคุมจำนวนชั่วโมงของสถานที่ๆขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ การตลาดของสินค้าเหล่านี้ เข้มงวดมากขึ้น เช่นโปรโมชั่นเครื่องดื่ม ซึ่งมีกลุ่มวัยรุ่นเป็นกลุ่มลูกค้าโดยตรง

ทางหน่วยงานเองยังต้องการที่จะให้ประชาชนในประเทศออสเตรเลียหยุดสูบบุหรี่อีกด้วย โดยราคาบุหรี่ซองละ 30 มวนอาจจะเพิ่มขึ้นมาระหว่าง 5-20 เหรียญ ส่วนโฆษณาโปรโมชั่นบุหรี่นั้นจะถูกยังคับให้ซ่อนไว้ใต้เคาน์เตอร์

อย่างไรก็ตามรัฐบาลจะถูกแรงกดดันเพื่อไม่ให้มีการขึ้นภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบอย่างแน่นอน เนื่องจากจะส่งผลกระทบแก่กลุ่มแรงงานที่ทำงานในอุตสาหกรรมเหล่านี้

#news#

นสพ Herald Sun ได้รายต่อไปว่ากลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพได้ออกมา แนะนำนโยบาย “Health Compact” ให้กับรัฐบาลในการลงทุนกับอุตสาหกรรมผลิตอาหารด้วยเงินกว่า 70 พันล้านเหรียญเพื่อให้เกิดการพัฒนาคุณค่าทางโภชนาการของอาหารที่ผลิตขายในประเทศ ซึ่งเน้นไปการลดระดับเกลือ น้ำตาลและไขมันในอาหารที่เป็นที่นิยมของประชาชน

หากรัฐบาลนำข้อแนะนำดังกล่าวมาใช่ ผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆไม่ว่าจะเป็น คอร์นเฟลก ไปจนถึงมันฝรั่งแผ่นแต่อย่างไรก็ตามทางหน่วยงาน Preventative Health Taskforce หลี่กเลี่ยงที่จะเปิดเผยว่าจะเป็นสินค้าประเภทใดอีกบ้างหรือ ระยะเวลาที่จะนำมาตรการดังกล่าวมาใช้

และเพื่อเป็นการรณรงค์ให้ประชาชนในชนบทได้รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ทางหน่วยงานได้พยายามผลักดันให้รัฐบาลหาทางทำให้ประชาชนเหล่านี้สามารถเข้าถึงอาหารเหล่านี้ได้อีกด้วย