จากจำนวนผู้ที่เป็นมะเร็งปอดในประเทศออสเตรเลียนั้นแสดงให้เห็นว่ามะเร็งปอดเป็นโรคที่กำลังมาแรงและอาจคร่าชีวิตผู้หญิงมากกว่ามะเร็งในเต้านมเนื่องจากการรณรงค์งดการสูบบุหรี่นั้นเข้าถึงกลุ่มผู้หญิงน้อยกว่าผู้ชายเสียอีก
จากการรายงานของ Australian Institute of Health and Welfare ได้เปิดเผยว่าสตรีนั้นที่เริ่มสูบบุหรี่ในปี 1970s และ 1980s นั้นเริ่มเป็นมะเร็งกันมากขึ้นโดยเฉพาะมะเร็งปอดซึ่งมีมีผู้เป็นมากกว่ามะเร็งเต้านมเสียอีกและเป็นมะเร็งที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตมากที่สุดเป็นครั้งแรก
รายงานภายใต้ชื่อ Cancer in Australia: An overview 2008 ได้ออกมาทำนายว่ามะเร็งปอดนั้นในผู้หญิงคาดว่าจะมีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น 0.4% ต่อปีไปจนถึงปี 2010 ส่วนในผู้ชายนั้นจะลดลงมา 1.1%
ผู้บริหารจากสถาบัน Caner Council of Australia, Ian Olver กล่าวว่าทางการนั้นไม่สามารถทำอะไรได้มากนักเกี่ยวกับมะเร็งเต้านมแต่การรณรงค์ไม่ให้ประชาชนนั้นสูบบุหรี่เพื่อลดการเกิดโรคมะเร็งปอดนั้นไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไปนัก
Ian กล่าวต่อไปว่าตนนั้นได้เรียกร้องให้มีการเพิ่มราคาบุหรี่และให้มีการแสดงภาพบนซองบุหรี่ต่อไปเพื่อแสดงให้ประชาชนเห็นถึงผลกระทบต่อร่างกายที่เกิดจากการสูบบุหรี่ไม่ว่าจะเป็นโรคเหงือกหรือโรคหัวใจ
จำนวนประชาชนที่ได้ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งนั้นมากขึ้นมาถึง 100,000 คนในปี 2005 และจำนวนผู้ป่วยนั้นคาดว่าจะเพิ่มมากขึ้นกว่า 3,000 คนในแต่ละปีไปจนถึงปี 2010
มะเร็งที่พบมากที่สุดในประเทศออสเตรเลียนั้นคือมะเร็งต่อมลูกหมากโดยมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น 16,349 ราย ตามมาด้วยมะเร็งผิวหนัง (6044) มะเร็งปอด (5738) และมะเร็งในต่อมน้ำเหลือง (2,373)
ผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากนั้นมีโอกาสรอดมากที่สุด โดยมีจำนวนผู้ป่วยกว่า 97% นั้นมีชีวิตอยู่มาเป็นเวลา 5 ปีหลังจากที่ได้ถูกตรวจพบ ตามมาด้วยมะเร็งไทรอยด์ซึ่งมีจำนวนผู้ป่วยรอด 93% คน มะเร็งผิวหนัง 92% ส่วนมะเร็งตับนั้นมีโอกาสรอดน้อยที่สุดโดยมีจำนวนเพียงแค่ 4.6% เท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ 5 ปีหลังตรวจพบว่าเป็นมะเร็งแล้ว
