
ถึงแม้ว่าในช่วงระยะที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวจะมีการจ้างงานเพิ่มมากขึ้นในประเทศ แต่รายได้ในแต่ละสายอาชีพถูกหักลดลง น้อยกว่างานที่ประชาชนเคยทำมาก่อนที่จะต้องถูกให้ออกจากงานในยุคเศรษฐกิจฝืดเคือง
ในมุมของของรัฐบาล งานไหนๆก็คืองานเหมือนกัน และการที่งานมีจำนวนมากขึ้นก็หมายความว่าเศรษฐกิจในประเทศคึกคักมากขึ้น แต่สำหรับประชาชนหลายๆคนที่เคยทำงานมีรายได้ปีละ 60,000 เหรียญ กลับต้องทำงานได้เงินเพียงแค่ 40,000 เหรียญต่อปีเท่านั้น หมายความว่าประชาชนเหล่านี้จะต้องใช้จ่ายน้อยลง ซึ่งก็จะทำให้เงินหมุนเวียนในประเทศน้อยลงไปอีกด้วย
จากการศึกษาของ Columbia University พบว่าประชาชนที่ได้รับค่าจ้างน้อยลงในตลาดแรงงานที่ไม่มีการจ้างมากนัก จะทำให้สถานภาพทางการเงินด้อยลงไปกว่าประชาชนในงานเดียวกัน คิดเป็นเวลาหลายปี หรือเป็นสิบๆปีก้อมี ตัวอย่างเช่นประชาชนที่จะต้องออกจากงานระหว่างปี 1981-82 เนื่องจากเศรษฐกิจฟองสบู่ มีรายได้ 20% น้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ถูกให้ออกจากงาน ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปแล้ว 20 ปีก็ตามกลุ่มแรกได้กลับเข้ามาทำงานแล้ว
#news#
ศาตราจารย์ภาควิชาเศรษฐศาสตร์ Till Marco von Watcher จากมหาวิทยาลัย Columbia University กล่าวว่าการจ้างงานในระยะที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวจ่ายเป็นเงินรายได้ไม่มากนัก บริษัทน้อยใหญ่จะยังไม่จ้างตำแหน่งที่จ่ายเงินเดือนสูง เนื่องจากยังไม่มีความมั่นใจใจเศรษฐกิจมากนัก
นอกจากนี้นายจ้างเองก็ไม่ได้มีความรู้สึกกดดันหรือมีความจำเป็นที่จะต้องขึ้นค่าจ้างในตอนนี้เนื่องจากมีประชาชนออกมาหาแข่งขันหางานกันเป็นจำนวนมาก โดยในแต่ละตำแหน่งมีประชาชนโดยเฉลี่ย 6 คนได้สมัครเข้ามา ตามข้อมูลของหน่วยงาน Labor Department หากเทียบกับเมื่อเดือนธันวาคมในปี 2007 โดยมีประชาชนเข้าสมัครงานต่อ 1 ตำแหน่งโดยเฉลี่ย 1.7 คนเท่านั้น