การใช้เครื่อง CT แสกนอย่างไม่ถูกต้องอาจก่อให้เกิดมะเร็งได้ จนทำให้ Medicare เกิดความไม่สบายใจ ส่วนทางแพทย์ฝ่ายรังสีวิทยารุ่นอาวุโสเองก็ออกมาเรียกร้องให้แพทย์ทั้งหลายหยุดสั่งแสกนผู้ป่วยเป็นว่าเล่น
ในปัจจุบันมีผู้ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้นๆทุกๆปีในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งมีผลมาจากการตรวจร่างกายด้วยรังสี ในขณะเดียวกัน การตรวจร่างกายด้วยระบบ CT แสกนเองซึ่งใช้รังสีมากกว่าการ x-ray มีจำนวนการใช้มากขึ้น 12% ต่อปี
การใช้เครื่อง CT แสกนกันอย่างกว้างขวางทำให้ผู้อำนวยการของ Professional Services Review, Tony Webber ต้องออกมาประกาศกันในวงการแพทย์ว่าอย่าทำการแสกนกันง่ายกันเกินไปนัก ถึงขาดต้องจับผู้ปาวยแสกนเพียงแค่ปวดหลังเท่านั้นในบางครั้ง
การประกาศเตือนในครั้งนี้ยังได้เกิดขึ้นหลังจากที่นักศึกษาแพทย์ที่กำลังจะจบจำนวนกว่า 50% ใน Perth ไม่เข้าใจถึงผลกระทบต่อร่างกายที่รังสีที่มีต่อร่างกายในการฉายรังสีเพื่อตรวจอวัยวะภายในของผู้ป่วย
#news#
ในประเทศสหรัฐอเมริกา ร่างกายของผู้ป่วยได้รับรังสีเป็นจำนวนมากขึ้นถึง 6 เท่าในระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา แต่จากการวิจัยล่าสุดนั้นพบว่าการรักษาคนไข้ไม่จำเป็นจะต้องใช้วิธีแสกน CT เสมอไปเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สุขภาพของคนไข้ได้รับผลกระทบ
นายแพทย์ Tony Webber ซึ่งเป็นผู้ที่ทำการสืบสวนการสั่งให้ทำการแสกน CT พร่ำเพรื่อของแพทย์หวังทำรายได้จาก Medicare พบว่าได้มีการรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีดังกล่าวบ่อยครั้งเกินความจำเป็น หรือไม่ได้มีคำวินิจฉัยที่เหมาะสม
แพทย์ฝ่ายรังสีวิทยาชั้นนำจากโรงพยาบาล Royal Perth Hospital ศาสตราจารย์ Richard Mendelson กล่าวว่าความเสี่ยงของการทำ CT แสกนนั้นจะมีไม่มากนัก แต่หากมีการแสกนไปที่ท้องน้อยหรือกระดูกเชิงกราน จะทำให้ผู้ป่วยนั้นได้รับรังสีมากถึง 20 millisieverts และอาจทำให้ตัวอ่อน หากมีการตั้งครรภ์ เกิดการเป็นมะเร็งมีโอกาส 1 ใน 1000
ศาสตราจารย์ Richard กล่าวต่อไปว่า เหตุผลที่ทำให้เกิดการใช้ CT แสกนกันอย่างไม่ถูกต้องเนื่องแพทย์ไม่ว่าจะเป็น การไม่มีความรู้ในเรื่องของการแสดงผลของภาพจากการแสกน การขาดการวินิจฉัยอย่างละเอียดถี่ก้วน และความกดดันจากผู้ป่วยที่ต้องการแสกน
เจ้าหน้าจาก Southern Health Service ใน Melbourne, Stacy Goergen กล่าวว่าการเพิ่มความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรังสีวิทยาแก่นักเรียนแพทย์เป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่จะทำให้การตัดสินใจในการวินิจฉัยโรคให้กับคนไข้ได้อย่างถูกต้อง
